LAMBORGHINI SIAN

LAMBORGHINI SIAN

LAMBORGHINI SIAN

LAMBORGHINI SIAN ไฮเปอร์คาร์สายฟ้าฟาดทรงพลัง

     จุดเริ่มต้นของการผลิต LAMBORGHINI SIAN นั้นคือทาง LAMBORGHINI มีจุดมุ่งหมายให้รถยนต์คันนี้ก้าวไปสู่ยุคใหม่ของเครื่องยนต์ LAMBORGHINI V12 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก LAMBORGHINI TERZO MILLENNIO CONCEPT เป็นคอนเซ็ปต์ซูเปอร์คาร์ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 สิ่งที่ SIAN รับมาจาก TERZO MILLENNIO CONCEPT ที่สังเกตเห็นหลัก ๆ คือ ไฟหน้า LED แบบ Y-SHAPE ไฟท้ายและท่อทรง 6 เหลี่ยม คำว่า SIÁN ในภาษาอิตาลีหมายถึง “สายฟ้าฟาด”

LAMBORGHINI SIAN

รูปลักษณ์ของ LAMBOGHINI SIAN

     LAMBORGHINI SIAN มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดุดัน แสดงส่วนเว้าส่วนโค้งและมุมที่คมชัดได้อย่างชัดเจน มาพร้อมกับไฟหน้าทรงใหม่ที่ดุดันแบบ 3 แฉก ส่วนด้านท้ายมาพร้อมกับไฟท้ายทรง 5 เหลี่ยม เรียงติดกัน 3 ดวง ถัดลงมาจะมีท่อไอเสียคู่ทรง 5 เหลี่ยมเช่นเดียวกัน โดยรวมแล้วทุกอย่างช่วยเพิ่มความดุดันและแสดงออกถึงความแรงของรถได้อย่างชัดเจน การดีไซน์ภายนอกนั้นถูกหุ้มด้วย CARBON FIBER มีรูปลักษณ์ที่ดูเท่ หรูหรา และมีสไตล์ นอกจากนี้ LAMBORGHINI SIAN ยังมีจุดเด่นในเรื่องของความเร็วที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่น่าสนใจคือ LAMBORGHINI SMART MATERIAL SYSTEM ถือว่าเป็น ACTIVE AERODYNAMIC อีกแบบหนึ่งที่ใช้ SMART MATERIAL ซึ่งตัวนี้มันคือ NITINOL เมื่อตัวรถหรือห้องเครื่องมีความร้อน NITINOL ก็จะทำหน้าที่คลายตัวนั่นเอง  การออกแบบภายในและมิติตัวถังได้รับอิทธิพลมาจากรถยนต์รุ่นต้นแบบ TERZO MILLENNIO CONCEPT ผสานลงบนตัวถัง AVENTADOR

LAMBORGHINI SIAN

     รุ่นปรับแต่งของ V12 ขนาด 6.5 ลิตรของ Aventador SVJ ที่ได้รับการปรับแต่งโดยธรรมชาติให้กำลัง 774bhp ด้วยตัวมันเองซึ่งมีมากกว่า SVJ อยู่แล้วถึง 15bhp จากนั้นเพิ่ม oomph ไฟฟ้าอีก 34bhp รวมเป็น 808bhp ซึ่งเป็นจำนวนมาก เพียงพอสำหรับ 0-62 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาน้อยกว่า 2.8 วินาทีและความเร็วสูงสุดประมาณ 220 ไมล์ต่อชั่วโมงอ้างว่า Lamboนี้ไม่ใช่ระบบไฮบริดแบบเก่า แต่อย่างใดโดยใช้ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์ลิเธียมไอออนแทนชุดแบตเตอรี่ปกติ ซุปเปอร์คาปาซิเตอร์มีความน่าสนใจด้วยเหตุผลหลายประการแม้ว่าจะไม่สามารถเก็บพลังงานได้มากเท่ากับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนปกติที่มีขนาดและน้ำหนักเท่ากัน แต่ก็มีความหนาแน่นของพลังงานสามเท่า (ความเร็วในการส่งพลังงาน) และสามารถชาร์จได้ มากขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือซูเปอร์คาปาซิเตอร์จะถูกเติมเต็มทุกครั้งที่คุณเบรกดังนั้นจึงพร้อมที่จะเติมแรงบิดในระหว่างการเปลี่ยนเกียร์หรือเพิ่มบูสต์เมื่อคุณถอยคันเร่ง ภาพรวมทั้งหมดนี้คือซูเปอร์คาปาซิเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ ระบบไฮบริดทั้งหมดมีน้ำหนักเพียง 34 กก. – 1 กก. ต่อแรงม้า

LAMBORGHINI SIAN

     รอบ ๆ ด้านหลังสปอยเลอร์แบบป๊อปอัพที่เพิ่มขึ้นเพื่อนั่งฟลัชพร้อมครีบคาร์บอนทั้งสองข้างเป็นชิ้นงานที่ชัดเจน แต่เราชอบคัตเอาต์สี่เหลี่ยมด้านล่างฝาครอบเครื่องยนต์แบบระแนง ช่องระบายอากาศที่เปิดเมื่ออุณหภูมิไอเสียถึงเกณฑ์ที่กำหนด แต่ทำได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า – มีเพียงชุดสปริงและวัสดุวิเศษ (ที่ Lamborghini จะไม่พูดถึง) ที่ทำให้เสียรูปภายใต้ความร้อนสูงเพื่อเปิดช่องระบายอากาศและไล่ความร้อน . สิ่งที่ฉลาด ไฟล์ที่และแผงหลังคาอิเล็กโทรโครมิก  สามารถสลับระหว่างแบบใสและทึบแสงได้โดยใช้ปุ่มบนแผงหน้าปัด

LAMBORGHINI SIAN

ขุมพลังของเครื่องยนต์

     LAMBORGHINI SIANใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ไฮบริด ให้แรงขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์เบนซิน 6.5 ลิตร V12 784 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 34 แรงม้า ซึ่งจะให้กำลังถึง 818 แรงม้า เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานด้วยกัน LAMBORGHINI SIAN ส่งกำลังไปยังล้อทั้ง 4 ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 2.8 วินาที เมื่อกดเต็มที่วิ่งได้ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งไร้ระบบอัดอากาศแต่เสริมด้วยระบบ MILD-HYBRID

LAMBORGHINI SIAN

     LAMBORGHINI SIANยังเป็นซูเปอร์คาร์ไฮบริดรุ่นแรกที่ใช้ระบบกักเก็บพลังงานแทนที่ชุดแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน โดยใช้หน่วยเก็บพลังงาน SUPERCAPACITOR ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าแบตเตอรี่ 3 เท่าตัว แต่มีน้ำหนักที่เบากว่า โดยติดตั้งอยู่ระหว่างห้องโดยสารกับเครื่องยนต์เพื่อการกระจายน้ำหนักอย่างดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีระบบคืนพลังงานขณะเบรก โดยพลังงานนั้นจะถูกนำมาใช้ในการบูสต์พลังเร่งระยะสั้น ๆ ที่มีความเร็วไม่เกิน 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้ SIAN มีอัตราเร่ง 70-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเร็วกว่า AVENTADOR SVJ ถึง 1.2 วินาที

LAMBORGHINI SIAN

ค่าตัวของ LAMBORGHINI SIAN

     LAMBORGHINI SIANได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 3,600,000 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือประมาณ 110,000,000 บาท ซึ่งผลิตในจำนวนจำกัดเพียงแค่ 63 คันทั่วโลก และถูกจองไปหมดเรียบร้อยแล้ว

RELATES POST